ตาชั่งไม่ใช่เครื่องมือเดียวในการวัดว่าคุณน้ำหนักเกินหรือเปล่า ในบทนี้จะบอกวิธีการวัดไขมันในร่างกาย (body fat) และอะไรคือเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย (percentage of body fat) แบบคร่าวๆ ลองนำมันมาเปรียบเทียบกับน้ำหนักของคุณแล้วลองพิจารณาดูว่าคุณอ้วนหรือเปล่า
ผู้คนส่วนใหญ่จะมองดูแค่น้ำหนักผ่านเครื่องชั่ง แล้วก็พยายามลดน้ำหนักให้ได้สักสองสามกิโลกรัม และนั้นเป็นความคุ้นเคยเดิมๆ และมันวัดได้แค่น้ำหนักอย่างเดียว ยังมีอีกวิธีในการตรวจสอบว่าคุณอ้วนเกินไปหรือเปล่า
ไขมันในร่างกาย (body fat) อันตรายไหม?
ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อได้ยินคำว่า “ไขมันในร่างกาย (body fat)” พวกเขาจะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่แย่ทันที อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้วไขมันมีส่วนช่วยในการไดเอ็ตและมีประโยชน์กับสุขภาพ ซึ่งความสามารถในการจัดเก็บไขมันมีมาตั้งแต่ในบรรพบุรุษของพวกเราซึ่งทำให้พวกเขาสามารถอยู่ร้อนได้ในสภาวะที่ขาดแคลนอาหาร แม้กระทั้งในทุกวันนี้มันก็ยังมีความสำคัญกับกระบวนการทำงานต่างๆ ในร่างกาย เช่น การเก็บรักษาความร้อนในร่างกาย และการป้องกันอวัยวะจากการบาดเจ็บ (protect organs from trauma)
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเมื่อร่างกายของเรามีไขมันมากเกินไป มันจะทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น โคเลสเตอรอลสูง, ความดันโรหิตสูง, ภาวะการควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีและ โรคเบาหวาน
ผ.ศ.Caroline Apovian จาก Medicine and pediatrics at Boston University School of Medicine and director of the Center for Nutrition and Weight Management at Boston Medical Center กล่าวว่า “โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายประมาณ 8 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์จากน้ำหนักของพวกเขาและในส่วนของผู้หญิงจะมีประมาณ 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์”
(เพิ่มเติม: เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย: ผู้ชาย)
แล้วเราจะวัดมันได้อย่างไร?
มีหลายวิธีในการวัดตัวเลขของไขมันในร่างกาย ดร. Mary M. Flynn, chief research dietitian and assistant professor of medicine at the Miriam Hospital and Brown University in Providence กล่าวว่า “วิธีวัดที่แม่นยำที่สุดคือการชั่งน้ำหนักในน้ำ (underwater weighing) ซึ่งต้องชั่งบนพื้นดินแล้วก็ใต้น้ำ แต่อุปกรณ์สำหรับวิธีการนี้มีราคาแพงมากและต้องทำให้ห้องปฏิบัติการเท่านั้น”
อีกหนึ่งวิธีที่มีความแม่นยำพอๆ กันคือการวัดค่า Bioeletric Impedance Analysis (BIA) ซึ่งวิธี BIA จะประกอบไปด้วยการติดขั้วไฟฟ้าที่มือและเท้าซึ่งจะปล่อยกระแสผ่านไปตามร่างกายโดยที่คุณไม่รู้สึกอะไร โดยไขมันจะมีน้อยกว่าน้ำและต้านกระษมากกว่าแต่ในกล้ามเนื้อจะเป็นตรงกันข้ามคือกล้ามเนื้อจะมีมากว่าน้ำและต้านกระแสน้อยกว่า ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นตัวเลขซึ่งจะนำมาใส่ในสมการได้ค่าออกมาเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายและ เนื้อเยื่อเนื้อแดง (lean tissue)
หรือวัดโดยการใช้สูตรคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย โดยวัดจากสัดส่วนได้ที่ โปรแกรมคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย
และยังมีวิธีที่ง่ายที่สุดคือการวัดรอบเอวและการหาค่า Body Mass Index (BMI) ถ้าผู้หญิงมีรอบเอวเกิน 35 นิ้วแล้วผู้ชายเกิน 40 นิ้วแสดงว่าพวกเขาอ้วนแล้ว
การหาค่า BMI จะต้องใช้การคำนวณเล็กน้อยโดยค่า BMI หาได้จาก นำน้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูงกำลังสอง (หน่วยเป็นเมตร) ถ้าผลลัพธ์ที่ได้น้อยกว่า 18.5 แสดงว่าน้ำหนักคุณต่ำกว่าเกณฑ์ ถ้าอยู่ในช่วง 18.5 ถึง 24.9 แสดงว่าปกติ ถ้าอยู่ในช่วง 25.0 ถึง 29.9 แสดงว่าน้ำหนักคุณเกินกว่าเกณฑ์ และถ้าเกิน 30 แสดงว่าคุณอ้วนเกินไป คุณสามารถคำนวณค่า BMI ง่ายๆ ได้ที่นี่ คำนวณค่า BMI
(เพิ่มเติม: กฎ 5 ข้อของการเบิร์นไขมันอย่างรวดเร็ว)
Elizabeth Down ,clinical dietitian at the Montefiore Medical Center at the University Hospital for the Albert Einstein College of Medicine in the Bronx, N.Y.
กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม คุณใช้ค่า BMI เป็นมาตรฐานอย่างเดียวไม่ได้ โดยเฉพาะในนักกีฬาและนักเพาะกาย และเด็กในวัยเจริญเติบโตที่อายุน้อยกว่า 18 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้ค่า BMI”
วิธีสุดท้ายที่จะวัดไขมันในร่างกายคือการใช้เครื่องวัดผิวหนังโดยวัดเฉพาะจุดในร่างกาย อย่างไรก็ตามมันอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย และวิธีนี้จะไม่ได้วัดไขมันที่อยู่ข้างในผิวหนังหรือไขมันในต้นขาและหน้าอกของผู้หญิง
สุดท้ายแล้วเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายก็เป็นแค่ตัวเลขหนึ่งในสมการสุขภาพ และถ้าคุณรู้สึกไม่ดีกับผลลัพธ์นั้น ก็เพียงแค่ออกกำลังกายและลดจำนวนแคลอรี่ในอาหารที่คุณทานเพื่อที่จะปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ผู้คนส่วนใหญ่จะมองดูแค่น้ำหนักผ่านเครื่องชั่ง แล้วก็พยายามลดน้ำหนักให้ได้สักสองสามกิโลกรัม และนั้นเป็นความคุ้นเคยเดิมๆ และมันวัดได้แค่น้ำหนักอย่างเดียว ยังมีอีกวิธีในการตรวจสอบว่าคุณอ้วนเกินไปหรือเปล่า
ไขมันในร่างกาย (body fat) อันตรายไหม?
ผู้คนส่วนใหญ่เมื่อได้ยินคำว่า “ไขมันในร่างกาย (body fat)” พวกเขาจะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่แย่ทันที อย่างไรก็ตาม จริงๆ แล้วไขมันมีส่วนช่วยในการไดเอ็ตและมีประโยชน์กับสุขภาพ ซึ่งความสามารถในการจัดเก็บไขมันมีมาตั้งแต่ในบรรพบุรุษของพวกเราซึ่งทำให้พวกเขาสามารถอยู่ร้อนได้ในสภาวะที่ขาดแคลนอาหาร แม้กระทั้งในทุกวันนี้มันก็ยังมีความสำคัญกับกระบวนการทำงานต่างๆ ในร่างกาย เช่น การเก็บรักษาความร้อนในร่างกาย และการป้องกันอวัยวะจากการบาดเจ็บ (protect organs from trauma)
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเมื่อร่างกายของเรามีไขมันมากเกินไป มันจะทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา เช่น โคเลสเตอรอลสูง, ความดันโรหิตสูง, ภาวะการควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีและ โรคเบาหวาน
ผ.ศ.Caroline Apovian จาก Medicine and pediatrics at Boston University School of Medicine and director of the Center for Nutrition and Weight Management at Boston Medical Center กล่าวว่า “โดยปกติแล้วผู้ชายจะมีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายประมาณ 8 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์จากน้ำหนักของพวกเขาและในส่วนของผู้หญิงจะมีประมาณ 20 ถึง 30 เปอร์เซ็นต์”
(เพิ่มเติม: เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย: ผู้ชาย)
แล้วเราจะวัดมันได้อย่างไร?
มีหลายวิธีในการวัดตัวเลขของไขมันในร่างกาย ดร. Mary M. Flynn, chief research dietitian and assistant professor of medicine at the Miriam Hospital and Brown University in Providence กล่าวว่า “วิธีวัดที่แม่นยำที่สุดคือการชั่งน้ำหนักในน้ำ (underwater weighing) ซึ่งต้องชั่งบนพื้นดินแล้วก็ใต้น้ำ แต่อุปกรณ์สำหรับวิธีการนี้มีราคาแพงมากและต้องทำให้ห้องปฏิบัติการเท่านั้น”
อีกหนึ่งวิธีที่มีความแม่นยำพอๆ กันคือการวัดค่า Bioeletric Impedance Analysis (BIA) ซึ่งวิธี BIA จะประกอบไปด้วยการติดขั้วไฟฟ้าที่มือและเท้าซึ่งจะปล่อยกระแสผ่านไปตามร่างกายโดยที่คุณไม่รู้สึกอะไร โดยไขมันจะมีน้อยกว่าน้ำและต้านกระษมากกว่าแต่ในกล้ามเนื้อจะเป็นตรงกันข้ามคือกล้ามเนื้อจะมีมากว่าน้ำและต้านกระแสน้อยกว่า ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นตัวเลขซึ่งจะนำมาใส่ในสมการได้ค่าออกมาเป็นตัวเลขเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายและ เนื้อเยื่อเนื้อแดง (lean tissue)
หรือวัดโดยการใช้สูตรคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย โดยวัดจากสัดส่วนได้ที่ โปรแกรมคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย
และยังมีวิธีที่ง่ายที่สุดคือการวัดรอบเอวและการหาค่า Body Mass Index (BMI) ถ้าผู้หญิงมีรอบเอวเกิน 35 นิ้วแล้วผู้ชายเกิน 40 นิ้วแสดงว่าพวกเขาอ้วนแล้ว
การหาค่า BMI จะต้องใช้การคำนวณเล็กน้อยโดยค่า BMI หาได้จาก นำน้ำหนักตัว (หน่วยเป็นกิโลกรัม) หารด้วย ส่วนสูงกำลังสอง (หน่วยเป็นเมตร) ถ้าผลลัพธ์ที่ได้น้อยกว่า 18.5 แสดงว่าน้ำหนักคุณต่ำกว่าเกณฑ์ ถ้าอยู่ในช่วง 18.5 ถึง 24.9 แสดงว่าปกติ ถ้าอยู่ในช่วง 25.0 ถึง 29.9 แสดงว่าน้ำหนักคุณเกินกว่าเกณฑ์ และถ้าเกิน 30 แสดงว่าคุณอ้วนเกินไป คุณสามารถคำนวณค่า BMI ง่ายๆ ได้ที่นี่ คำนวณค่า BMI
(เพิ่มเติม: กฎ 5 ข้อของการเบิร์นไขมันอย่างรวดเร็ว)
Elizabeth Down ,clinical dietitian at the Montefiore Medical Center at the University Hospital for the Albert Einstein College of Medicine in the Bronx, N.Y.
กล่าวว่า “อย่างไรก็ตาม คุณใช้ค่า BMI เป็นมาตรฐานอย่างเดียวไม่ได้ โดยเฉพาะในนักกีฬาและนักเพาะกาย และเด็กในวัยเจริญเติบโตที่อายุน้อยกว่า 18 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้ค่า BMI”
วิธีสุดท้ายที่จะวัดไขมันในร่างกายคือการใช้เครื่องวัดผิวหนังโดยวัดเฉพาะจุดในร่างกาย อย่างไรก็ตามมันอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย และวิธีนี้จะไม่ได้วัดไขมันที่อยู่ข้างในผิวหนังหรือไขมันในต้นขาและหน้าอกของผู้หญิง
สุดท้ายแล้วเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายก็เป็นแค่ตัวเลขหนึ่งในสมการสุขภาพ และถ้าคุณรู้สึกไม่ดีกับผลลัพธ์นั้น ก็เพียงแค่ออกกำลังกายและลดจำนวนแคลอรี่ในอาหารที่คุณทานเพื่อที่จะปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ที่มา: everydayhealth
0 ความคิดเห็น: