ดีท็อกซ์ร่างกายด้วยอาหาร 5 ชนิด


คุณรู้สึกเหนื่อย ไม่สบายตัวจากอาหารที่ทานสะสมมานานหรือเปล่า บางดีการทำดีท็อกซ์อาจเหมาะกับคุณ แต่ถ้าคุณยังไม่พร้อมที่จะทำดีท็อกซ์คุณสามารถปรับอาหารที่คุณทานอยู่เพื่อช่วยคุณได้ พยายามลดแป้ง, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์, นม, น้ำตาล, และคาเฟอีนจากอาหารที่คุณทานอยู่ปัจจุบัน และเริ่มต้นเพิ่มอาหารห้าอย่างต่อไปนี้เพื่อให้การซ่อมแซมร่างกายเป็นไปอย่างสมบูรณ์

1. ชา
สารโพลีพลีนอลในชาสามารถช่วยล้างพิษให้ร่างกายได้ อีกทั้งประโยชน์ของชายังมีอีกมากมายเช่น ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน, ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ, ลดขนาดของเนื้องอก, และลดระดับความดันของเลือด

(เพิ่มเติม: ดื่มชาดำช่วยลดเบาหวาน)

2. กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีเปรียบได้กับยาขับปัสสาวะธรรมชาติซึ่งช่วยขับของเหลวออกจากร่างกาย กะหล่ำปลีมีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 92 เปอร์เซ็นต์ และยังเป็นที่รู้กันดีของแหล่งอาหารที่อุดมณ์ไปด้วยใยอาหาร, แร่ธาตุ, และวิตามิน ซึ่งประกอบด้วย วิตามินซี, เค, อี, เอ, และกรดโฟลิค

(เพิ่มเติม: กฎ 5 ข้อของการเบิร์นไขมันอย่างรวดเร็ว)

3. กระเทียม
กระเทียมถือว่าเป็นอาหารสุดยอดของดีท็อกซ์เลยก็ว่าได้ แต่ไม่แนะนำให้ทานก่อนไปเดทหรือพบปะผู้คน กระเทียมยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี, ป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด, และช่วยลดความเครียดอีกด้วย

(เพิ่มเติม: LDL cholesterol คืออะไร?)

4. ผักใบสีเขียว
คลอโรฟิลในผักใบสีเขียวจะช่วยกำจัดพิษที่เป็นอันตรายออกจากร่างกาย และยังด้วยล้างพิษตับอีกด้วย มันยังช่วยลดไขมันในเลือดและลดระดับความดันของเลือดด้วย

(เพิ่มเติม: วิตามินและสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้หญิง (ตอนที่ 1))

5. น้ำเปล่า 
อย่ากังวลที่จะดื่มน้ำเปล่าสักสองแก้วในตอนเช้า, ตลอดวัน, ก่อนทานอาหาร, หลังอาหาร, และระหว่างออกกำลังกาย เพราะน้ำจะช่วยทำความสะอาดตับและไตของคุณ แล้วคุณจะมีความสุขและสดชื่นจากการล้างร่างกายภายในด้วยการทานอาหารที่ช่วยดีท็อกซ์

(เพิ่มเติม: ควรดื่มน้ำเท่าไรจึงจะเหมาะสม?)




ที่มา: Shape

0 ความคิดเห็น:

8 สิ่งที่ควรทำทุกครั้งก่อนออกกำลังกาย


เพื่อให้การออกกำลังกายที่คุณต้องเสียแรงเสียเหงื่อไปเป็นจำนวนมากให้ได้ผลลัพธ์ตามที่คุณคาดหวัง สามารถทำได้โดยการเพิ่มวิธีปฏิบัติเหล่านี้ลงในโปรแกรมการออกกำลังกายของคุณ

1. กินเพิ่มแรง
เวลาที่เหมาะสมสำหรับทานมื้อก่อนออกกำลังกายนั้นขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการย่อยของสิ่งที่คุณทานเข้าไป โดยทั่วไปแล้วการทานอะไรบางอย่างก่อนออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมงจะช่วยให้คุณมีพลังงานเพียงพอในการออกกำลังกาย ช่วยให้ไม่เกิดอาการหิวระหว่างออกกำลังกาย

หลายคนเบื่อหน่ายกับอาการปวดท้องตอนที่พวกเขาทานอาหารใกล้กับเวลาออกกำลังกายมากเกินไป แต่บางคนก็สามารถทานอาหารก่อนออกกำลังกายได้ทันที เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นปัญหากับรายบุคคล ไม่ใช่ทุกคน

มื้อก่อนออกกำลังกายควรประกอบไปด้วยคาร์บและโปรตีนอย่างเช่น ขนมปังกับเนยถั่วก็เป็นตัวเลือกที่ดี เพราะประกอบไปด้วยคาร์บ, ไขมัน, และโปรตีน ผลไม้อย่างเช่น กล้วย, แอปเปิ้ล, และส้มก็ดีเพราะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนซึ่งย่อยช้ากว่าคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวทำให้สามารถให้พลังงานได้ยาวนานกว่า หรือจะเป็นโปรตีนเชคหรือโปรตีนบาร์ก็ไม่ว่ากัน

(เพิ่มเติม: 10 พฤติกรรมที่ไม่ควรทำระหว่างออกกำลังกาย)

2. ดื่มน้ำ 20 ออนซ์
ความสามารถในการดูดซึมน้ำนั้นขึ้นอยู่กับตัวแปรหลายอย่างเช่น อายุ, เพศ, น้ำหนัก, ส่วยสูง, และความเข้มข้นในการออกกำลังกาย ตามคู่มือแนะนำของ the American College of Sports Medicine แนะนำว่าควรดื่มน้ำ 20 ออนซ์ หรือประมาณ 0.6 ลิตรก่อนออกกำลังกาย และควรจิบน้ำเป็นพักๆ ระหว่างออกกำลังกาย อย่าปล่อยให้เกิดอาการคอแห้ง

3. อาหารเสริมก่อนออกกำลังกาย
อาหารเสริมก่อนออกกำลังกายหรือ pre-workout จริงๆ แล้วก็ไม่ได้จำเป็นมาก แต่ถ้าทานก็ดีกว่าไม่ทานเพราะมันช่วยเพิ่มพลังให้คุณได้มากเลยทีเดียว

อาหารเสริมจำพวก pre-workout  ส่วนใหญ่จะมีส่วนประกอบคล้ายๆ กันคือคาเฟอีน และกรดอะมิโน ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือด ควรทานอาหารเสริม pre-workout  ก่อนออกกำล้งกาย 30 นาทีแล้วตอนที่คุณก้าวขาเข้ายิมคุณจะรู้สึกว่าอยากระเบิดพลังมากกว่าเดิม

(เพิ่มเติม: 5 อาหารเสริมที่ดีที่สุดสำหรับผู้ชาย)

4. ตรวจสอบคู่มือออกกำลังกายของคุณ
คุณควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพื้นฐานการยกเวทให้ดีก่อนว่าสำหรับคุณควรยกเวทด้วยหนักเท่าไร ยกกี่เซ็ต เซ็ตละกี่ครั้ง ควรพักกี่นาที ซึ่งข้อมูลเหล่านี้คุณสามารถหาอ่านได้จากบทความพื้นฐานทั่วๆ ไป ซึ่งความนี้รู้จะเป็นประโยชน์กับการออกกำลังกายของคุณมาก

5. วอร์มอัพขั้นที่ 1: แอร์โรบิค
การวอร์มอัพที่ดีจะช่วยเพิ่มอุณหภูมิให้กับกล้ามเนื้อ และร่างกาย อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียดของเลือดและช่วยให้เส้นเอ็นและข้อต่อพร้อมสำหรับการใช้งาน ซึ่งจะทำให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

การวอร์มอัพในขั้นที่ 1 นี้ร่างกายคุณจะเริ่มขับเหงื่อออกมาเล็กน้อย จุดประสงค์ในการวอร์มอัพขั้นนี้ไม่ใช่เพื่อให้เหงื่อออกจนเปียกโชก ใช้เวลาประมาณห้านาทีในการออกกำลังกายทีมีความเข้มข้นระดับต่ำถึงกลาง เช่น เดินหรือเดินเร็วบนลู่วิ่ง และปั่นจักรยานอยู่กับที่


6. วอร์มอัพขั้นที่ 2: ลูกกลิ้งนวดโฟม
เส้นใยกล้ามเนื้อเกาะกันด้วยเส้นเอ็นและเนื้อเยื่อประสานหุ้มที่เรียกว่าเพอริไมเซียม เมื่อคุณออกกำลังกายเนื่อเยื่อเหล่านั้นจะอัดกันแน่นมาก การใช้ลูกกลิ้งนวดโฟมจะสามารถหยุดอาการอันกันแน่นได้ ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดังนั้นควรใช้เวลาประมาณหนึ่งนาทีต่อการนวดในส่วนของกล้ามเนื้อที่ใช้งานระหว่างออกกำลังกาย

7. วอร์มอัพขั้นที่ 3: การยืดกล้ามเนื้อแบบไดนามิค
การวอร์มอัพส่วนสุดท้ายแล้วร่างกายคุณจะพร้อมสำหรับการออกกำลังกายอย่างเต็มที่

การยืดกล้ามเนื้อแบบไดนามิคหมายถึงการวอร์มอัพผ่านโดยการขยับ ซึ่งจะขยับกลุ่มกล้ามเนื้อที่คุณวางแผนจะใช้งานโดยการทำบอดี้เวทด้วยท่าคอมพาวน์ (ท่าออกกำลังกายที่ขยับข้อต่อมากกว่าหนึ่งจุด) หรือการเคลื่อนไหวด้วยดัมเบลหรือลูกเหล็กที่น้ำหนักเบามากๆ ซึ่งทำจนครบระยะการเคลื่อนไหว การยืดกล้ามเนื้อแบบได้นามิคจะช่วยให้พื้นที่ต่างๆ เช่น ไหล่, เข่า, ข้อมือถูกวอร์มอัพแล้วพร้อมสำหรับออกกำลังกาย

(เพิ่มเติม: ยืดกล้ามเนื้อก่อนออกกำลังกาย ดีจริงหรือ?)

8. จัดรายการเพลง
การฟังเพลงระหว่างออกกำลังกายจะช่วยให้คุณยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่ากว่าไม่ฟังเพลง งานวิจัยเกี่ยวกับการฟังเพลงและออกกำลังกายกล่าวว่าควรเลือกฟังเพลงที่มีความเร็วอยู่ระหว่าง 10-140 บีทต่อนาที (BPM) ยกตัวอย่างเช่นเพลงของ Katy Perry, Rizzle Kicks, Daft Punk, และ Little Mix


ที่มา: MuscleandFitness
ที่มารูปภาพ: 360conditioning

0 ความคิดเห็น:

เชื่อหรือไม่ คาร์โอก็สร้างกล้ามเนื้อได้


การคาร์ดิโอ หรือการออกกำลังกายแบบแอโรบิค อย่างเช่น เดิน, วิ่ง, ว่ายน้ำ ไม่ได้แค่ช่วยเบิร์นไขมัน และออกกำลังกายหัวใจแต่ยังสร้างกล้ามเนื้อได้อีกด้วย

ถ้าคุณอ้างเหตุผลที่ไม่ยอมทำคาร์ดิโอว่าเดี๋ยวกล้ามไม่โตละก็ อยากให้คุณคิดใหม่อีกครั้งหลังอ่านบทความนี้ ตามงานวิจัยใหม่จำนวน 14 ชิ้นพบว่า การออกกำลังกายแบบแอโรบิค เช่น วิ่ง, เดิน, ปั่นจักรยาน ไม่ได้ลดทอนขนาดของกล้ามเนื้อขาแต่อย่างใด จริงๆ แล้วมันช่วยเพิ่มขนาดกล้ามเนื้อด้วยซ้ำ การศึกษาสองสามชิ้นพบว่าทั้งผู้ชายที่ยังหนุ่มและแก่ที่ทำคาร์ดิโอประมาณ 45 นาทีต่อครั้ง จำนวน 4 วันต่อสัปดาห์ ด้วยอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดถึง 80% พบว่ากล้ามเนื้อขามีขนาดใหญ่ขึ้น 5% และ 6% ตามลำดับ Ph.D. Matthew Harber กล่าวว่า "การออกกำลังกายแบบแอโรบิค ถ้าทำอย่างถูกต้องจะสามารถทำให้กล้ามเนื้อเติบโตได้ดีขึ้น ความเข้มข้นนั้นสำคัญกว่าระยะเวลา ดังนั้นถ้าเป้าหมายของคุณคือการเติบโตของกล้ามเนื้อ ควรคาร์ดิโอด้วยอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุด 80%"

(เพิ่มเติม: การคำนวณอัตราการเต้นของหัวใจ)




ที่มา: MensFitness

0 ความคิดเห็น: