ทำไมพุงถึงไม่หายไปสัก



ออกกำลังกายเป็นประจำแถมควบคุมอาหารด้วย แต่ทำไมพุงก็ยังไม่หายไปสักที บทความนี้จะไขข้อข้องใจให้คุณว่าทำไมถึงรูปร่างคุณยังเป็นเหมือนเดิม แล้วจะทำยังไงให้พุงหายไปได้สักที

1. ได้รับแมกนีเซียมไม่เพียงพอ


ร่างกายเราจำเป็นต้องใช้แมกนีเซียมในการทำปฏิกิริยาเคมีในร่างกายมากกว่า 300 ครั้งซึ่งประกอบไปด้วยการรักษาสภาพการเต้นของหัวใจให้คงที่และการควบคุมระดับของน้ำตาลในเลือด นอกจากจะมีประโยชน์กับสุขภาพแล้ว สารอาหารตัวนี้ยังช่วยลดน้ำหนักและทำให้คุณหุ่นดีขึ้นได้อีกด้วย จากการศึกษาในปี 2013 ของ Journal of Nutrition พบว่าการได้รับแมกนีเซียมในปริมาณที่สูงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลดลงอย่างรวดเร็วของระดับกลูโคสและอินซูลิน (เกี่ยวข้องกับไขมันและการเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก) และอีกหนึ่งการศึกษาจากประเทศอังกฤษพบว่า อาหารเสริมแมกนีเซียมอาจช่วยลดการกักเก็บน้ำในร่างกายระหว่างมีประจำเดือน ซึ่งทำให้คุณรู้สึกบวม

ควรทานอาหารที่อุดมณ์ไปด้วยแมกนีเซียม เช่น ผักใบสีเขียว, ถั่ว, และนัท หรือปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเสริม ปริมาณแมกนีเซียมที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า 30 ปีคือ 310 มิลลิกรัม และ 320 มิลลิกรัมสำหรับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 30 ปี

(เพิ่มเติม: วิตามินและสารอาหารที่จำเป็นสำหรับผู้หญิง)

2. ออกกำลังกายแบบผิดๆ


หลายคนพยายามออกกำลังกายด้วยการคาร์ดิโอด้วยความเข้มข้นคงที่ เช่น วิ่งด้วยความเร็วเท่าเดิมตลอดการออกกำลังกาย มันทำให้คุณผอมลงได้ แต่คุณจะเจอกับปัญหานี้คือ ถ้าคุณวิ่งด้วยความเร็วคงที่เป็นเวลา 45 นาที คุณอาจสลัดน้ำหนักออกไปได้สักปอนด์ แต่การเผาผลาญพลังงานจะหยุดทันทีที่คุณก้าวขาออกจากลู่วิ่ง

วิธีที่ดีที่สุดคือการเวทเทรนนิ่ง การยกน้ำหนักจะทำให้กล้ามเนื้อฉีกขาดเล็กน้อยซึ่งนั่นเป็นการใช้พลังงานที่มาก (เผาผลาญพลังาน)ในการกระบวนการฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ซึ่งร่างกายคุณจะยังเผาผลาญพลังงานไปได้ถึงสองวันหลังจากที่คุณฝึกเสร็จ มีงานวิจัยที่พบว่าการออกกำลังกายที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการกำจัดไขมันคือการออกกำลังกายที่ใช้ความเข้มข้นสูงหรือที่เรียกว่า HIIT (high-intensity interval training) การออกกำลังกายแบบนี้จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจของคุณเพิ่มขึ้นและเพิ่มกล้ามเนื้ออีกด้วย อีกหนึ่งงานวิจัยจากสหราชอาณาจักรพบว่าการฝึกวิ่งแบบ HIIT ช่วยให้ผู้เข้าร่วมทดสอบลดรอบเอวและสะโพกได้กว่านิ้วหลังจากฝึกได้เพียง 2 สัปดาห์ตามโปรแกรม ขณะที่งานวิจัยของมหาวิทยาลัย Arkansas พบว่าผู้ที่ออกกำลังกายโดยใช้ความเข้มข้นสูงจำนวน 20 เปอร์เซ็นต์สามารถลดไขมันที่หน้าท้องได้

คุณสามารถสร้างโปรแกรมฝึกแบบ HIIT ได้โดยจัดเรียงการออกกำลังกายที่ประกอบไปด้วยการคาร์ดิโอ เช่น วิ่ง, ว่ายน้ำ, หรือปั่นจักรยานตลาดจนการเวทแบบทั่วร่างกาย

(เพิ่มเติม: ทำไมถึงควรออกกำลังกายด้วยการเวทเทรนนิ่ง)

3. นอนไม่พอ


ผู้หญิงอเมริกันมากกว่าครึ่งรู้สึกว่าพวกเขานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ จากการสำรวจโดย Better Sleep Council พบว่ารอบเอวที่ใหญ่ขึ้นเป็นผลพวงจากการอดหลับอดนอน งานวิจัยของ American Journal of Epidemiology พบว่าผู้หญิงที่นอน 5 ชั่วโมงต่อวันหรือน้อยกว่า 32 เปอร์เซ็นต์มีแนวโน้มที่น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งมากกว่าผู้ที่ได้นอนเยอะกว่า และงานวิจัยจาก New York Obesity Nutrition Research Center พบว่าเมื่อผู้หญิงที่ได้นอน 4 ชั่วโมงแทนที่จะเป็น 8 ชั่วโมง พวกเขาจะทานอาหารมากขึ้นกว่า 300 แคลอรี่ในหนึ่งวัน และส่วนใหญ่เป็นอาหารที่เป็นไขมัน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น การนอนน้อยเกินไปทำให้ฮอร์โมนที่เรียกว่า ghrelin เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความอยากอาหารเพิ่มมากขึ้น

ผู้เชี่ยวชาญแนะนนำให้นอนหลับประมาณเจ็ดถึงเก้าชั่วโมงต่อคืน และเพื่อให้เป็นการนอนที่มีคุณภาพควรเอาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ทำให้คุณวอกแวกเช่นโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์โน็ตบุ๊คออกกจากห้องนอน รักษาความเย็นให้พอดี หลีกเลี่ยงการทานคาแฟอีนหลังมื้อเที่ยง และพยายามเข้านอนในเวลาเดิมๆ แม้กระทั่งในวันหยุด

(เพิ่มเติม: การอดนอนอาจเป็นสาเหตุทำให้คุณทานอาหารขยะมากขึ้น)

4. ติดน้ำอัดลม


แม้จะเป็นน้ำอัดลมแบบไม่ให้พลังงานก็ตามแต่ก็สามารถขยายรอบเอวของคุณได้ งานวิจัยในปี 2012 จากนิตยสาร Obesity พบว่าน้ำอัดลมทั่วๆ ไปเป็นผลพวงที่ทำให้ขนาดของเอวและไขมันที่หน้าท้องเพิ่มขึ้นแม้จะเป็นน้ำอัดลมไดเอตก็ตาม หนึ่งในทฤษฎีที่บอกว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นคือสารให้ความหวานเทียมในน้ำอัดลมไดเอตซึ่งยังทำให้คุณติดหวาน จึงเป็นสาเหตุให้คุณอยากกินอะไรก็ได้ที่มีรสชาติหวาน เช่น เค้ก และขนมต่างๆ สุดท้ายคุณก็กลับมาอ้วนเหมือนเดิม ดังนั้นคุณควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือแม้กระทั่งสารให้ความหวานเทียม

หยุดวงจรนี้ด้วยการดื่มน้ำเปล่าหรือชาที่ไม่มีรสหวานแทน ถ้าคุณเบื่อน้ำเปล่า ลองทานเป็นผลไม้ที่มีรสหวานไม่มากหรือจะเป็นกาแฟก็เข้าท่าเหมือนกัน แต่ควรควบคุมประมาณแคลอรี่ด้วย




5. กินเค็ม


ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองบวมหลังจากทานอาหารที่มีเกลือ นั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ไม่ใช่แค่เรื่องในหัวของคุณ ส่วนเกินของเกลือเป็นสาเหตุให้น้ำย้ายจากกระแสเลือดมายังผิวหนังของคุณ ซึ่งเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อคุณทานขนมทอดกรอบทุกๆ วันเลยทำให้คุณอ้วนขึ้น เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์มีผู้ที่บริโภคโซเดียมมากกว่าที่แนะนำต่อวันคือ 2300 mg ดังนั้นเป็นไปได้ไม่ควรเอากระปุกเกลือไว้ที่โต๊ะกินข้าว อาหารที่ทำให้คุณได้รับโซเดียมมากเกินกว่าที่จำเป็นคือ อาหารกระป๋อง, น้ำสลัด, เนื้อสำเร็จรูป, อาหารแปรรูป, หรือแม้แต่อาหารที่ทำจากผลิตภัณฑ์จากนม เช่น คอทเทจชีส

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่เกลือ แทนที่รสชาตินั้นด้วยเครื่องเทศหรือสมุนไพร ซึ่งมีประโยชน์กับสุขภาพมากกว่า ลองทำอาหารรสชาติอร่อยด้วยอบเชย, พริกป่น, ผงยี่หร่า, ขิง, โหระพา, และผักชีฝรั่ง มั่นใจได้เลยว่าคุณจะไม่บวมจากเกลืออีก

6. ดื่มมากเกินไป


มีงานวิจัยบางชิ้นที่แสดงให้เห็นว่าแอลกอฮอล์สามารถเพิ่มความอยากอาหารได้ และประเภทของแอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้องกับไขมันที่หน้าท้องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าคุณเป็นผู้ที่ชื่นชอบในการดื่มเบียร์ให้ระวังการดื่มของคุณให้ดี หนึ่งในงานวิจัยในปี 2013 จากประเทศเดนมาร์กเสนอแนะว่าการดื่มเบียร์เป็นผลพวงที่ทำให้มีพุง ขณะที่ประเทศเยอรมันพบว่าตลอดชีวิตที่ดื่มแอลกอฮอล์มีส่วนเกี่ยวข้องกับไขมันที่หน้าท้องในผู้หญิง 160,000 คน

ถ้าเป็นเพียงแค่ไวน์หนึ่งแก้วหรือเหล้าเพียงเล็กน้อยก็ไม่เป็นอะไร ควรหลีกเลี่ยงโซดาหรือเครื่องดื่มผสม

สรุป
ควรเลือกทานอาหารที่อุดมณ์ไปด้วยแมกนีเซียม เช่น ผักใบสีเขียว, ถั่ว, นัท, หรืออาจปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการทานอาหารเสริม เพิ่มเวทเทรนนิ่งในโปรแกรมออกกำลังกายและลองฝึกวิ่งแบบ HIIT ควรนอนหลับพักผ่อนไม่น้อยกว่าเจ็ดชั่วโมงต่อวัน ควรงดทานน้ำอัดลมแม้ว่าจะเป็นน้ำอัดลมไดเอ็ตก็ตาม ไม่ควรทานอาหารที่มีรสเค็มจัด หลีกเลี่ยงอาหารจำพวก อาหารกระป๋อง, เนื้อแปรรูป และน้ำสลัด สุดท้ายควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ อนุโลมให้ดื่มได้แต่ควรน้อย

ที่มา: shape

Author

Written by Admin

สนใจลงโฆษณาติดต่อ eimebox@gmail.com

ปรึกษาเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพได้ที่เพจ

Everyday I'm Exercising

0 ความคิดเห็น: