คู่มือแนะนำสำหรับมือใหม่อยากมีซิกแพค

ไม่ว่าใครก็ตามที่เดินเข้ามาในฟิตเนส ก็คงอยากมีซิกแพคเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ

และก็ยังมีหลายคนที่ถึงแม้จะเข้าฟิตเนสมาเป็นปีแล้วแล้ว เริ่มมีกล้ามเนื้อขึ้นมาให้เห็นบ้างแล้ว แต่สำหรับกล้าท้องหรือซิกแพคนั้นยังคงไปไม่ถึงไหนเลย พอเห็นแค่ลาง ๆ อยู่ใต้ผิวหนังแค่นั้น นั่นเป็นเพราะว่าบางทีวิธีการที่คุณปฏิบัตินั้นอาจยังไม่ถูกจุด ซึ่งแน่นอนว่าจำนวนเวลาที่ใช้ในฟิตเนสนั้นไม่ได้เป็นตัวกำหนดปัจจัยว่าคุณจะมีซิกแพคช้าหรือเร็วแค่ไหน แต่เป็นวิธีการปฏิบัติในการสร้างกล้ามท้อง หรือซิกแพคที่ถูกต้องต่างหากล่ะ



แม้ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ หรือคนที่ไม่เคยประสบผลสำเร็จในการสร้างซิกแพคจากช่วงเวลาที่ผ่านมาเลยก็ตาม ทุกสิ่งในบทความนี้เป็นสิ่งที่คุณควรรู้ไว้หากคุณต้องการมีซิกแพค

รู้จักกับกล้ามเนื้อซิกแพค (Rectus Abdominis) และวิธีการฝึก
เมื่อมีคนพูดถึงซิกแพค จริง ๆ แล้วพวกเขากำลังพูดถึงกล้ามเนื้อส่วนหนึ่งซึ่งเรียกว่า Rectus Abdominis ซึ่งกล้ามเนื้อนี้จะอยู่ระหว่างกระดูกซี่โครง ไล่ลงมาจนถึงด้านบนสุดของกระดูกหัวหน่าว ดังนั้นถ้าคุณอยากให้ซิกแพคของคุณคมชัดออกมา คุณก็จำเป็นต้องฝึกกล้ามเนื้อส่วนนี้


เนื่องจาก Rectus Abdominis ถูกออกแบบเพื่อให้เชื่อมระหว่างกระดูกซี่โครงล่างกับกระดูกหัวหน่าวเข้าด้วยกัน ดังนั้นการกล้ามเนื้อส่วนนี้จะทำงานเมื่อเรางอตัว เช่นการทำท่า Crunch หรือ Reverse Crunch และจากงานวิจัยของ American Council ได้แสดงให้เห็นว่าท่าอออกกำลังกาย Crunch นั้นใช้งานกล้ามเนื้อ Rectus Abdominis ได้ดีกว่าท่าออกกำลังกายกล้ามท้องทั่ว ๆ ไปเช่น ท่า Plank, Sit Up, และ Boat Pose แต่แทนที่คุณจะฝึกโดยพยายามทำท่า Crunch ให้ได้จำนวนมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ให้คุณฝึกโดยค่อย ๆ ทำอย่างช้า ๆ และพยายามโฟกัสที่การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแทนจะดีกว่า โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวขณะเอนตัวลง (Eccentric Contraction) ซึ่งการเคลื่อนไหวในช่วงนี้จำเป็นมากสำหรับการทำให้กล้ามเนื้อได้รูป

ข้อสำคัญคือควรเน้นที่คุณภาพมากกว่าปริมาณ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดอาการบาดเจ็บที่หลังได้ ให้มั่นใจเสมอว่าคุณปลอดภัยจากการฝึก หากคุณมีอาการบาดเจ็บที่หลัง และอยากฝึกกล้ามท้องให้คุณทำท่า Crunch โดยสอดมือทั้งสองข้างที่ด้านล่างของหลังช่วงล่าง แล้วยกเฉพาะศีรษะ และช่วงไหล่ขึ้นมา ไม่ต้องสูงมาก แล้วข้างไว้ 10 วินาที จากนั้นผ่อนหลายกลามเนื้อแล้วแอนลงไป การเคลื่อนไหวแบบนี้จะช่วยให้น้ำหนักไม่กดลงที่กระดูกสันหลังช่วงล่าง ทำให้หลังของคุณไม่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บ

(เพิ่มเติม: 6 ขั้นตอนสร้าง Sixpack ให้คมชัด สวยงาม)

อย่าละเลยการฝึกกล้ามท้องภายใน
แม้ว่ากล้ามท้องซิกแพค หรือ Rectus Abdominis จะเป็นกล้ามเนื้อที่คุณต้องการเห็นเวลาที่ส่องกระจก แต่คุณยังมีกล้ามท้องภายใน ซึ่งประกอบไปด้วย Internal Oblique, Internal Oblique , และ Transverse abdominis ซึ่งกล้ามเนื้อเหล่านี้เป็นรากฐานให้กับซิกแพคของคุณ คุณคงไม่อยากสร้างตึกที่มีรากฐานที่อ่อนแอจริงไหม? กล้ามเนื้อเหล่านี้จะถูกใช้งานเมื่อคุณออกกำลังกายกล้ามท้อง เช่น ท่า Plank, Dead Bug, Core Twist, และ Farmer's Walk ซึ่งช่วยให้ช่วงลำตัวของคุณมีความเสถียรมากขึ้น

(เพิ่มเติม: 3 เหตุผลที่ทำไมเล่นกล้ามท้องไม่โดน)

รู้จักกับเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย
ไม่สำคัญว่าคุณจะมีช่วงลำตัว หรือมัดกล้ามท้องที่แข็งแรงขนาดไหน คุณจะไม่มีทางมองเห็นซิกแพคของคุณได้หากกล้ามเนื้อเหล่านั้นถูกซ่อนอยู่ภายใต้ชั้นไขมันอันหนาแน่น  ในแต่ละบุคคลจะมีรูปแบบของร่างกาย และการกระจายตัวของไขมันแตกต่างกัน บางคนมีไขมันที่ขาเยอะ บางคนมีที่แขนเยอะ และบางคนที่มีหน้าท้องเยอะ โดยทั่วไปแล้วเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายของผู้ชายที่เหมาะสมอยู่ในช่วง 8 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ หากคุณต้องการให้เห็นซิกแพคแบบคมชัด คุณต้องลดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายให้ได้ต่ำกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ และต้องคำนึงถึงสุขภาพของคุณด้วย

(เพิ่มเติม: โปรแกรมคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย)

จัดการกับมื้ออาหารให้ถูกต้อง
ส่วนหนึ่งที่ช่วยรักษาระดับเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายคือการทานอาหารที่ถูกต้อง และยังช่วยให้พัฒนาการในการกล้ามเนื้อเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย

คาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าวกล้อง, มันสำปะหลัง, และผลไม้จะเป็นเชื้อเพลิงให้คุณใช้ในการออกกำลังกาย อาหารที่มีโปรตีนสูง เช่น ไข่, เนื้อไม่ติดมัน, และปลา จะช่วยซ่อมแซม และสร้างกล้ามเนื้อให้เพิ่มขึ้น และไขมันไม่อิ่มตัวจาก อัลมอนด์, วอลนัท, อะโวคาโด, และน้ำมันมะกอก จะช่วยให้ระบบเผาผลาญพลังงานทำงานได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายของคุณดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นด้วย


โดยทัวไปแล้วควรเลือกทานอาหารที่มีใยอาหารสูง, ไขมันดี, โปรตีน, และคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง และเนื้อแปรรูป เพราะมีโซเดียมเยอะ และยังเป็นสารก่อมะเร็งด้วย จำไว้เสมอว่าคุณไม่สามารถออกกำลังกายด้วยการทานอาหารแย่ ๆ ได้หรอก

(เพิ่มเติม: 3 ปัจจัยในการควบคุมอาหาร และแบ่งสัดส่วนของอาหาร)

เวทขาด้วย
เมื่อถึงเวลาสร้างซิกแพค หลาย ๆ คนมักจะละเลยการออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนอื่นที่ไม่ได้อยู่ในช่วงลำตัว แต่การที่จะให้ซิกแพคของคุณคมชัดออกมา คุณจำเป็นต้องฝึกกล้ามเนื้อให้ครบทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือกล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อยิ่งใหญ่ ยิ่งใช้พลังงานเยอะ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อขา คุณสามารถออกกำลังกายช่วงล่างของร่างกายได้โดยฝึกท่าเหล่านี้ เช่น ท่า Squat, Lunge, และ Dead Life จะดียิ่งขึ้นถ้าคุณโฟกัสกล้ามท้องไปด้วยขณะฝึกท่าเหล่านี้

(เพิ่มเติม: 10 วิธีสร้างกล้ามเนื้ออย่างรวดเร็ว)

ดื่มน้ำให้มาก
น้ำนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมากไม่ว่าคุณจะมีเป้าหมายแบบไหนก็ตาม คุณต้องดื่มน้ำให้มากหากคุณต้องการให้กล้ามเนื้อทำงานได้อย่างเต็มที่ ร่างกายคนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบมากถึง 2 ใน 3 ส่วน ดังนั้นจงแน่ใจว่าคุณยังรักษาระดับน้ำในร่างกายได้เท่านั้น น้ำนั้นยังช่วยขับสารพิษ และเกลือส่วนเกินออกจากร่างกายได้อีกด้วย ควรดื่มน้ำให้มากพอที่ปัสสาวะจะสีจางใส ไม่เหลืองจัด

ที่มา: MensFitness
read more →

3 ขั้นตอนจัดการกับรูปร่าง Skinny Fat (ผอมแต่มีพุง)

คำแนะนำในการลดน้ำหนักแบบผิดๆ อาจทำให้คุณกลายเป็น Skinny Fat ได้ คุณจำเป็นต้องเลิกปฏิบัติตามคำแนะนำที่ไม่ถูกต้อง และบทความนี้สามารถช่วยคุณได้

หากมีบางสิ่งเกี่ยวกับร่างกายที่สามารถทำให้คุณหงุดหงิดได้มากที่สุด สิ่งนั้นคือ Skinny Fat

Skinny Fat หมายความว่าอะไร?

Skinny Fat คือการมีรูปร่างที่ไม่ถึงกับอ้วน แต่ก็ไม่เฟิร์มซะทีเดียว เพราะมีปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกายน้อย แม้ว่าคุณจะมีไขมันอยู่ไม่มาก และเมื่อคุณใส่เสื้อผ้าคนอื่นอาจจะคิดว่าคุณหุ่นดี แต่เมื่อถอดเสื้อผ้าออกก็จะรู้ทันทีว่าร่างกายไม่ได้เฟิร์มอย่างที่คิด ยังมีชั้นไขมันเกาะอยู่ตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หน้าท้อง ขา หลังแขน ข้างรักแร้ เป็นต้น หลายคนอาจจะเรียก Skinny Fat ว่า ผอมแต่มีพุง

และด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างของคนที่เป็น Skinny Fat





ผู้ที่มีรูปร่างแบบ Skinny Fat พวกเขามักจะออกกำลังกายในปริมาณถือว่ามากทีเดียว และพยายามกินคลีน ถึงแม้พวกเขาจะพยายามทำมันอย่างหนัก แต่ก็ไปไม่ถึงเป้าหมายสักที

และบทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยของคุณถึงปัญหาที่เป็นบ่อเกิดของ Skinny Fat, ทำไมถึงมีร่างกายแบบ Skinny Fat และวิธีจัดการกับมัน เริ่มกันเลย

หัวใจสำคัญของปัญหา Skinny Fat

ข้อผิดพลาดที่สำคัญของคนที่มีรูปร่างแบบ Skinny Fat คือยึดติดกับตัวเลขน้ำหนักบนตาชั่งมากเกินไป ซึ่งที่จริงแล้วคุณควรโฟกัสไปที่สัดส่วนจริงๆ ของร่างกายมากกว่า ใช้กระจกเป็นตัวบอกแทนตาชั่งวัดน้ำหนัก

สัดส่วนร่างกายของคุณประกอบไปด้วยใส่ที่เป็นไขมัน (Body Fat) และส่วนอื่นที่ไม่ใช่ไขมัน เช่น กล้ามเนื้อ กระดูก อวัยวะภายใน หรือที่เรียกกันว่า Lean Body Mass (LBM) คุณสามารถหาความหมายเพิ่มเติมของ LBM ได้ที่ ความหมายและสูตรคำนวณ Lean Body Mass


ตัวเลขน้ำหนักบนตาชั่งน้ำหนักของคุณไม่สำคัญเท่าปริมาณกล้ามเนื้อที่คุณมีเทียบกับไขมันในร่างกาย

รู้หรือไม่ กล้ามเนื้อจะมีน้ำหนักมากกว่าไขมัน เมื่อเทียบในขนาดเดียวกัน จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนที่หุ่นเฟิร์มจะมีน้ำหนักมากกว่าคนที่มีรูปร่างแบบ Skinny Fat (น้ำหนักเยอะกว่า แต่หุ่นดีกว่า เพราะมีมวลกล้ามเนื้อมากกว่า)

ภาพเปรียบเทียบขนาดของไขมันและกล้ามเนื้อที่น้ำหนัก 5 ปอนด์เท่ากัน 
(ที่มารูปภาพ coachcalorie)

คุณจะเห็นว่าคนที่มีรูปร่างแบบ Skinny Fat จะมีปัญหาคือมีกล้ามเนื้อน้อยเกินไป และมีไขมันมากเกินไป ปริมาณไขมันในร่างกายที่เหมาะสมคือ 10-15% สำหรับผู้ชาย และ 15-20% สำหรับผู้หญิง คุณสามารถหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายได้จาก โปรแกรมคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย

ทีนี้มาดูความเปลี่ยนแปลงของร่างกายสำหรับคนที่สามารถจัดการกับ Skinny Fat ได้กัน





สำหรับคนที่จัดการกับ Skinny Fat ได้พวกเขาอาจมีน้ำหนักตัวมากขึ้นประมาณ 7-10 กิโลกรัมเลยทีเดียว ตั้งแต่ก่อนเริ่มทำการเปลี่ยนแปลง และนั่นเป็นเพราะว่ากล้ามเนื้อของพวกเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม และมันจำเป็นที่จะต้องมีกล้ามเนื้อมากขึ้น เพื่อให้ได้หุ่นอย่างที่ต้องการ (แม้ว่าคุณเพียงแค่ต้องการกระชับกล้ามเนื้อก็ตาม)

ก่อนที่คุณจะได้รู้จักกับวิธีจัดการกับ Skinny Fat เราขอพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาที่ทำให้มีรูปร่างแบบนี้ และวิธีการหลีกเลี่ยงกันก่อน

Skinny Fat เกิดจากอะไร?

1. จำกัดแคลอรี่แบบฮาร์ดคอร์เกินไป
2. ทำคาร์ดิโอมากเกินไป
3. ยกเวทด้วยน้ำหนักน้อยๆ แต่เน้นหลายๆ ครั้ง

คุ้นๆ มั้ย? คุณคงเคยได้ยินคำแนะนำในการลดน้ำหนักโดยให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งในสามสิ่งนี้แน่ๆ (อดอาหารจนไม่มีแรง, ทำคาร์ดิโอวันละหลายๆ ชั่วโมงทุกวัน, ยกเวทน้ำหนักเบาๆ จำนวนครั้งเยอะๆ)

แล้วทำไมการทำสามสิ่งที่ว่ามานี้ จะทำให้คุณมีรูปร่างแบบ Skinny Fat เรามาไขข้อข้องใจกัน

#การจำกัดแคลอรี่แบบฮาร์คอร์ทำให้คุณมีรูปร่างแบบ Skinny Fat ได้อย่างไร
ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับแคลอรี่ก่อน

เมื่อเราพูดถึงอาหาร แคลอรี่คือจำนวนพลังงานที่ทำให้อุณหภูมิของน้ำ 1 กิโลกรัม เพิ่มขึ้น 1 องศาเซลเซียล ซึ่งก็คือการจัดเก็บพลังงาน

อาหารที่มีแคลอรี่สูงก็จะให้พลังงานสูง และอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำก็จะให้พลังงานต่ำเช่นกัน ร่างกายของคุณใช้พลังงานจากอาหารเพื่อให้ส่วนต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้ปกติ และจัดเก็บพลังงานเอาไว้ในร่างกาย เช่น ในรูปของไขมัน

ดังนั้นหากคุณต้องการลดไขมันในร่างกาย คุณจำเป็นต้องกินให้ได้พลังงานน้อยกว่าที่ใช้ (แต่อย่ากินให้ได้แคลอรี่น้อยจนเกินไป) จากนั้นร่างกายของคุณจะค่อยๆ กำจัดไขมันที่สะสมในร่างกาย อย่างช้าๆ และยั่งยืนในระยะยาว


คุณคงเคยได้ยินสูตรลดความอ้วนโดยให้กินแค่วันละ 500 แคลอรี่! วิธีนี้คุณอาจดูผอมลงก็จริง แต่ที่ลดลงไปไม่ใช้ไขมันเพียงอย่างเดียว กล้ามเนื้อของคุณก็ลดลงไปด้วย ซึ่งทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานของคุณทำงานได้แย่ลง คุณแทบจะไม่มีแรงไว้ออกกำลังกายด้วยซ้ำ

สุดท้ายแล้วการลดของไขมันจะหยุดลงก่อนที่จะได้รูปร่างอย่างที่คุณคาดหวัง และคุณจะไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้อีก เว้นแต่ว่าคุณจะกินให้น้อยลงกว่านี้ และแน่นอน กล้ามเนื้อคุณจะยิ่งหายไปมากขึ้นด้วย และเมื่อคุณไปต่อไม่ไหวและกลับมาทำพฤติกรรมเหมือนเดิม น้ำหนักและไขมันของคุณจะพุ่งขึ้นอย่างเร็ว และเราเรียกอาการนี้ว่า โยโย่เอฟเฟค

#การทำคาร์ดิโอมากเกินไปทำให้คุณมีรูปร่างแบบ Skinny ได้อย่างไร
การทำคาร์ดิโอไม่ใช้ศัตรูของคุณขณะที่คุณพยายามสร้างกล้ามเนื้อ แต่การทำคาร์ดิโอมากเกินไปจะส่งผลเสียต่อร่างกายมากกว่า

นี่คือสองเหตุผลที่คุณไม่ควรทำคาร์ดิโอมากเกินไป

1. นักวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายแบบเพิ่มความอดทด (Endurance Training) ส่งผลโดยตรงกับการเติบโตของกล้ามเนื้อ 

นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ควรทำคาร์ดิโอบ่อยๆ ควรเน้นที่การเวทมากกว่า

2. นักวิจัยแสดงให้เห็นว่า การทำคาร์ดิโอเป็นเวลานานทำให้กล้ามเนื้อสูญเสียความแข็งแรง และการเจริญเติบโต

และนี่เป็นอีกเหตุผลว่าทำไมถึงไม่ควรทำคาร์ดิโอเป็นระยะเวลานานๆ (ให้ทำนานพอที่จะลดไขมัน แต่ไม่นานจนเกินไป)

#การยกเวทด้วยน้ำหนักเบาๆ แต่หลายๆ ครั้งทำให้คุณมีรูปร่างแบบ Skinny Fat ได้อย่างไร
ไม่ใช่แค่คาร์ดิโออย่างเดียวที่ลดไขมันได้ การยกเวทก็ช่วยลดไขมันได้เหมือนกัน

1. การยกเวทจะช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อขณะที่คุณกำลังลดไขมัน

คุณอาจจะกำลังสร้างกล้ามเนื้อหรือลดไขมันอยู่ เป้าหมายของคุณคือการควบคุมอาหารเพื่อลดไขมันในร่างกาย และยังคงรักษามวลกล้ามเนื้อและความแข็งแรงให้คงอยู่เท่าที่เป็นไปได้ การยกเวทนั้นช่วยคุณได้

2. การยกเวทส่งผลให้การทำคาร์อิโอของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สองข้อข้างบนนี้คือเหตุผลว่าทำไมคุณจำเป็นต้องเน้นการเวทเทรนนิ่ง เมื่อคุณต้องการลดไขมัน และคุณควรยกแค่ไหนจึงจะพอดีล่ะ?

โดยทั่วไปแล้วคุณควรฝึกกล้ามเนื้อด้วยเวทเทรนนิ่ง 3-5 ครั้งต่อสัปดาห์ และทำ HITT ระยะเวลาสั้นๆ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยมีปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้
- ปริมาณการฝึกที่พอดี (ไม่หนักจนเกินไป ซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการ Overtrain)
- การควบคุมอาหารที่พอดี (ควบคุมปริมาณแคลอรี่ที่เหมาะสม และแบ่งสัดส่วนของสารอาหารหลัก เลือกทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ)
- พักผ่อนให้เพียงพอ (การนอนหลับที่เพียงพอช่วยให้กล้ามเนื้อได้พักผ่อน และพร้อมที่จะฝึกในครั้งต่อไป)
- อาหารเสริมที่ช่วยลดความเครียดและการอักเสบให้กับร่างกาย และช่วยบำรุงสุขภาพในทุกๆ ส่วนของร่างกาย เช่น วิตามินรวม น้ำมันปลา วิตามินดี

คุณคงเคยได้ยินคำแนะนำว่า ถ้าต้องการลดไขมันให้ฝึกด้วยจำนวนครั้งเยอะๆ เพิ่มให้กล้ามเนื้อชัดขึ้น

จริงๆ ที่คำกล่าวนั้นไม่ถูกต้องซะทีเดียว การเพิ่มความชัดให้กล้ามเนื้อ เพียงแค่คุณลดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายให้อยู่ในระดับต่ำก็สามารถทำให้กล้ามเนื้อคุณดูชัดขึ้นมาแล้ว การยกด้วยจำนวนครั้งเยอะๆ ช่วยคุณได้น้อยกว่าการยกด้วยจำนวนครั้งที่น้อยกว่า แต่น้ำหนักเหมาะสมกว่า (งานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าการยกน้ำหนักแบบหนักๆ นั้นส่งผบต่อการลดไขมันในร่างกายดีกว่า)

ปริมาณกล้ามเนื้อที่คุณจะสามารถรักษาไว้ได้ขณะลดไขมันขึ้นอย่างกับหลายสิ่ง เช่น ร่างกายคุณเฟิร์มอยู่แล้วแค่ไหน, ระดับความแข็งแรงของร่างกาย, ระดับฮอร์โมนของคุณ, และอีกหลายๆ อย่าง แต่สิ่งที่สำคัญคือ อย่างปล่อยให้คุณสูญเสียความแข็งแรง และกล้ามเนื้อขณะอยู่ในช่วงลดไขมันเด็ดขาด

(เพิ่มเติม: วิธีลดไขมันไม่ให้สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ)

3 ขั้นตอนจัดการกับรูปร่าง Skinny Fat

ที่ผ่านมาได้อธิบายว่าปัญหาของ Skinny Fat คือะไร และทำไมหลายๆ คนถึงประสบพบเจอกับมันไปแล้ว งั้นเรามาเริ่มวิธีจัดการกับ Skinny Fat กันเลย จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เรื่องยากอะไรนักหรอก

#วิธีจัดการกับ Skinny Fat ขั้นที่ 1 เล่นให้หนัก และเน้นท่าคอมพาวด์
อย่างที่คุณรู้ ปัญหาหลักของ Skinny Fat คือร่างกายขาดกล้ามเนื้อ ดังนั้นกุญแจสำคัญคือการสร้างกล้ามเนื้อ

นี่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเลิกทำคาร์ดิโอแล้วมาเน้นที่การยกเวทอย่างเดียว แต่ให้คุณยกเวทให้เหมาะสมคือ
- คุณควรโฟกัสไปที่การเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกายโดยใช้ท่าคอมพาวด์ ท่าคอมพาวด์คือท่าที่บริหารกล้ามเนื้อมากกว่าหนึ่งส่วน เช่น Squat, Deadlift, Bench Press, และ Military Press
- ถ้าคุณเป็นผู้ชาย แนะนำว่าให้คุณโฟกัสไปที่จำนวนครั้งประมาณ 4-6 ครั้งต่อเซ็ตเพื่อให้กล้ามเนื้อใหญ่ และแข็งแรงขึ้น ส่วนผู้หญิงให้ยก 8-10 ครั้งต่อเซ็ต เพื่อให้กล้ามเนื้อกระชับ และเพิ่มความแข็งแรง


สองสิ่งนี้ เมื่อรวมกับการควบคุมอาหารที่เหมาะสม (ซึ่งจะกล่าวต่อไป)  จะช่วยให้คุณสังเกตุเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น ทั้งขนาดของกล้ามเนื้อ และความแข็งแรง จำไว้ว่าถึงแม้จะใช้เวลานาน แต่คุณจะสามารถเปลี่ยนจาก Skinny Fat ไปเป็นรูปร่างที่ดีกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน

#วิธีจัดการกับ Skinny Fat ขั้นที่ 2 ลดการคาร์ดิโอลง
ไม่ได้หมายความว่าให้คุณเลิกทำคาร์ดิโอไปเลย แต่เราจะโฟกัสไปที่การสร้างกล้ามเนื้อหลักๆ ดังนั้นการลดคาร์ดิโอจะช่วยคุณได้อย่างมาก

บางคนนั้นทำคาร์ดิโอนาน 8, 9, หรือมากกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เลยทีเดียว แต่หุ่นก็ยังไม่เฟิร์มอย่างที่ตั้งใจไว้ซักที

แนะนำว่าให้คุณจำกัดการทำคาร์ดิโอเพียงแค่ 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในช่วงรักษาน้ำหนัก และเพิ่มกล้ามเนื้อ และทำคาร์ดิโอ 2-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ในช่วงลีน หรือลดไขมัน และใช้ประโยชน์จากการคาร์ดิโอแบบ HIIT ซึ่งช่วยให้คุณเบิร์นแคลอรี่ได้มากเลยทีเดียว

#วิธีจัดการกับ Skinny Fat ขั้นที่ 3 ใช้หลักโภชณาการที่ถูกต้อง
การควบคุมอาหารเป็นส่วนสำคัญในการจัดการกับ Skinny Fat

- ถ้าคุณได้รับแคลอรี่ในปริมาณที่ต่ำอยู่แล้ว (เทียบกับพลังงานที่คุณใช้ต่อวัน TDEE) คุณไม่จำเป็นต้องปรับลงไปอีกเพื่อลดไขมัน

หลายคนที่เป็น Skinny Fat มีสาเหตุมาจากระบบเผาผลาญพัง เนื่องจากการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายที่ไม่ถูกต้อง เช่น เคยลดน้ำหนักด้วยการอดอาหารมาก่อน แต่คุณไม่ต้องสิ้นหวังไปเพราะมันสามารถแก้ไขได้ ซึ่งคุณจะต้องแก้ไขปัญหานี้ก่อนที่จะโฟกัสไปที่การลดไขมันอีกครั้ง

แทนที่จะจำกัดจำนวนแคลอรี่ คุณจำเป็นต้องได้รับแคลอรี่ที่มากขึ้นกว่าปกติ เพื่อกระตุ้นให้การเผาผลาญพลังงานของคุณให้กลับมาทำงานได้ปกติอีกครั้ง ซึ่งมันไม่เพียงแต่จะช่วยคุณสร้างกล้ามเนื้อ แต่มันยังสามารถทำให้คุณลดไขมันได้ง่ายยิ่งขึ้น

หากปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับของคุณอยู่ในเกณฑ์ปกติอยู่แล้ว แต่เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายของคุณยังคงสูงอยู่ คุณสามารถโฟกัสไปที่การลดไขมันได้เลย

แล้วแคลอรี่เท่าไรที่เหมาะสมกับคุณ หาคำตอบได้ที่ โปรแกรมคำนวณพลังงานที่ร่างกายใช้ต่อวัน BMR และ TDEE

แนะนำให้คุณโฟกัสไปที่การลดไขมันในร่างกายเป็นอันดับแรก หากคุณมีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายมากกว่า 15% สำหรับผู้ชาย และ 25% สำหรับผู้หญิง เมื่อคุณสามารถลดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายลงมาให้น้อยกว่า 10% สำหรับผู้ชาย และ 20% สำหรับผู้หญิง ค่อยเริ่มขั้นตอนการสร้างกล้ามเนื้อ

คุณสามารถหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายโดยคำนวณจากสัดส่วนของคุณได้ที่ โปรแกรมคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย

และคุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทาง และการแบ่งสัดส่วนของอาหารหลักได้ที่ 3 ปัจจัยในการควบคุมอาหาร และแบ่งสัดส่วนของอาหาร

หากปริมาณแคลอรี่ที่คุณได้รับอยู่ในเกณฑ์ปกติ และไขมันในร่างกายของคุณไม่ได้สูงมาก คุณสามารถโฟกัสไปที่การสร้างกล้ามเนื้อได้เลย

ถ้าคุณมีเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายใกล้เคียงกับ 10% สำหรับผู้ชาย และ 20% สำหรับผู้หญิง คุณสามารถวางแผนการทานอาหารเพื่อให้กล้ามเนื้อเติบโตได้เต็มที่ได้เลย

ที่มา: muscleforlife
read more →

โปรแกรมคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย

อยากรู้ว่าเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายมีเท่าไรงั้นเหรอ เราช่วยคุณได้ด้วยโปรแกรมช่วยคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย

เวลาที่ดีในการใช้โปรแกรมนี้วัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายคือช่วงตอนเช้า หลังจากคุณจัดการกับธุระในห้องน้ำเรียบร้อยแล้ว เพราะน้ำหนัก และรอบเอวของคุณจะถูกวัดด้วยค่าที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุด หลังจากคุณตื่นนอนจากการนอนหลับ 7-8 ชั่วโมง


โปรแกรมคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันด้านล่างนี้อาจไม่ได้ให้ตัวเลขที่แม่นยำ 100% ซึ่งวิธีที่จะวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันได้ร่างกายได้แม่นยำที่สุดคือการชั่งน้ำหนักใต้น้ำ แต่โปรแกรมคำนวณนี้สามารถให้ตัวเลขเพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร สร้างกล้ามเนื้อ และลดไขมันของคุณได้

วิธีการวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายในรูปแบบต่างๆ
- การชั่งน้ำหนักใต้น้ำ (Hydrostatic Weighing) ซึ่งเป็นการชั่งน้ำหนักเพื่อหาไขมันในร่างกายที่แม่นยำที่สุด
- การวัดโดยการเปรีบเทียบจากรูปภาพ
- การวัดโดยใช้เครื่องหนีบ Caliper หนีบผิวหนังเพื่อวัดเปอร์เซ็นไขมัน
- การวัดด้วยเครื่องที่จะปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ผ่านผิวหนัง

คุณสามารถอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายได้ที่ เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย: ผู้ชาย และ เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย: ผู้หญิง

โปรแกรมคำนวณหาเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย











(*)


(*)
* กรอกเฉพาะเพศหญิง




ตารางระดับของเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย

เปอร์เซ็นไขมันในร่างกาย
คำอธิบาย 
ผู้ชาย
ผู้หญิง
นักเพาะกายที่ขึ้นประกวด 
2-5%
10-13%
นักกีฬา 
6-13%
14-20%
เหมาะสม 
14-17%
21-24%
พอยอมรับได้(เฉลี่ย) 
18-24%
25-31%
อ้วน  
เกินกว่า 25%
เกินกว่า 32%

การวัดเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายโดยคำนวณจากการวัดสัดส่วน

สูตรคำนวณหาไขมันในร่างกายสำหรับผู้หญิง
Factor 1 = (น้ำหนัก หน่วย ปอนด์ x 0.732) + 8.987
Factor 2 = รอบข้อมือ (ส่วนที่กว้างที่สุด) / 3.140
Factor 3 = รอบเอว (ส่วนที่แคบ) x 0.157
Factor 4 = รอบสะโพก (ส่วนที่กว้างที่สุด) x 0.249
Factor 5 = รอบแขนท่อนปลาย (ส่วนที่กว้างที่สุด) x 0.434
น้ำหนักปราศจากไขมัน (LBM)  = Factor 1 + Factor 2 - Factor 3 - Factor 4 + Factor 5
น้ำหนักไขมัน = น้ำหนัก หนว่ย ปอนด์ - น้ำหนักปราศจากไขมัน (LBM)
เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย = (น้ำหนักไขมัน x 100) / น้ำหนัก หน่วย ปอนด์

สูตรคำนวณหาไขมันในร่างกายสำหรับผู้ชาย
Factor 1 = (น้ำหนัก หน่วย ปอนด์x 1.082) + 94.42
Factor 2 = รอบเอว x 4.15
น้ำหนักปราศจากไขมัน (LBM) = Factor 1 - Factor 2
น้ำหนักไขมัน = น้ำหนัก หน่วย ปอนด์ - น้ำหนักปราศจากไขมัน (LBM)
เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย = (น้ำหนักไขมัน x 100) / น้ำหนัก หน่วย ปอนด์



การรู้ว่าร่างกายของคุณมีไขมันอยู่ในร่างกายเท่าไร ช่วยให้คุณสามารถวางแผนการควบคุมอาหารได้ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งคุณสามารถใช้ค่าเปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกายเพื่อไปคำนวณหาค่าพลังงานที่คุณใช้ต่อวัน หรือ ค่า BMR และ TDEE

คุณสามารถคำนวณหาค่า BMR และ TDEE ได้จาก โปรแกรมคำนวณพลังงานที่ร่างกายใช้ต่อวัน BMR และ TDEE

และเพื่อให้การแบ่งสัดส่วนอาหารหลักของ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ คุณสามารถศึกษาได้จาก 3 ปัจจัยในการควบคุมอาหาร และแบ่งสัดส่วนของอาหาร

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียงแค่แนวทางที่จะช่วยชี้แนะไม่ให้คุณเดินทางอย่างสะเปะสะปะ การที่คุณจะไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่นั้น ขึ้นคุณกับความพยายาม และความมีวินัยของตัวคุณเองเท่านั้น


ที่มาสูตรคำนวณไขมันในร่างกาย: bmi-calculator
read more →

สูตร และโปรแกรมคำนวณหาไขมัน LDL

คอเรสเตอรอลชนิดไม่ดี (ที่เรียกกันว่า ไขมันเลว) หรือ LDL (Low Density Lipoprotein) เป็นส่วนประกอบของคอเรสเตอรอล ซึ่งสูตรในการคำนวณหาคอเลสเตอรอลคือ

คลอเรสรอลทั้งหมด = ไขมัน LDL + ไขมัน HDL + (ไตรกลีเซอร์ไรด์ / 5)

โปรแกรมด้านล่างนี้จะช่วยคุณคำนวณหาค่าของ ไขมัน LDL ซึ่งคุณควรจะรู้ค่าของ คอเลสเตอรอล, ไขมัน HDL และ ไตรกลีเซอร์ไรด์ในร่างกายของคุณก่อน

LDL formula and calculator


คุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับไขมัน LDL ได้ที่บทความ LDL cholesterol คืออะไร? และ ควรมีคอเรสเตอรอลเท่าไร ถึงจะเรียกว่าสุขภาพดี

โปรแกรมคำนวณหาไขมัน LDL





















ระดับ LDL ในร่างกายเท่าใดจึงจะพอดี
โครงการศึกษาโคเลสเตอรอลแห่งชาติอเมริกัน (NCEP) กำหนดมาตรฐานระดับของไขมัน LDL ในเลือดดังนี้

ปริมาณ
เกณฑ์
น้อยกว่า 100 mg/dl
พอดี (optimal)
100 – 129
เกินพอดี (above optimal)
130-159
สูงคาบเส้น (borderline high)
160-189
สูง (high)
มากกว่า 190  
สูงมาก (very high)
read more →

ออกกำลังกายอย่างไรให้อายุยืน

ปริมาณการออกกำลังกายนั้นเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่ผู้เชี่ยวชาญมาเป็นเวลานาน ต้องออกกำลังกายเท่าไรถึงจึงไม่น้อยไป ไม่มากไป และเท่าไหนจึงจะพอดีที่จะทำให้สุขภาพดี และอายุยืน มีงานวิจัยที่พิสูจน์ว่าปริมาณการออกกำลังกายแค่ไหนจึงจะช่วยในเรื่องอายุยืน งานวิจัยชิ้นนี้พบว่าการออกกำลังกายเป็นเวลานาน และเช้มข้นนั้นไม่น่าจะส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่ยังสามารถช่วยยืดอายุได้อีกด้วย

ออกกำลังกายกายแบบไหนให้อายุยืน

คงไม่มีใครสงสัยหรอกจริงไหม ถึงจะออกกำลังกายน้อยขนาดไหนก็ยังดีกว่าไม่ได้ออกกำลังกายเลย การออกกำลังกายนั้นคล้ายกับยา อย่างที่คุณรู้กันว่าการออกกำลังกายช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ และช่วยให้คุณอายุยืน

แต่การออกกำลังกายไม่มีฉลากบอกปริมาณว่าควรออกมากน้อยขนาดไหนเหมือนกับฉลากของยา คำแนะนำจากสมาคมสุขภาพแนะนำว่าให้ออกกำลังกายในระดับปานกลาง (Moderate Exercise) ให้ได้ 150 นาทีต่อสัปดาห์ เพื่อเป็นการรักษาสุขภาพและเพิ่มความแข็งแรงให้กับร่างกาย

นักวิจัยจากสถานบันมะเร็งแห่งชาติ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และสถาบันอื่นๆ รวบรวมข้อมูลของผู้ที่ชอบออกกำลังกายเป็นประจำจากหกกลุ่มใหญ่ๆ ทำการสำรวจสุขภาพพวกเขาอย่างต่อเนื่อง และติดตามข้อมูลของผู้ใหญ่มากกว่า 661,000 คนในช่วยอายุวัยกลางคน


ข้อมูลที่ใช้ในงานวิจัยนี้ นักวิจัยแบ่งกลุ่มผู้ถูกศึกษาออกโดยเวลาในการออกกำลังกายประจำสัปดาห์ของพวกเขา โดยมีทั้งผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเลย ผู้ที่ออกกำลังกายเท่ากับปริมาณที่แนะนำ และผู้ที่ออกกำลังกายมากกว่าปริมาณที่แนะนำถึง 10 เท่า (หรือประมาณ 1,500 นาทีต่อสัปดาห์)

จากนั้นเปรียบเทียบอัตรการเสียชีวิตของพวกเขาเป็นเวลา 14 ปี

(เพิ่มเติม: เปอร์เซ็นต์ไขมันในร่างกาย: ผู้ชาย)

สิ่งที่นักวิจัยพบนั้นไม่น่าแปลกใจเท่าไรนักคือ ผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเลยมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงสุด

และผู้ที่ออกกกำลังกายเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับปริมาณที่แนะนำ ลดความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรโดยร้อยละ 20

ผู้ที่ออกกำลังกายในปริมาณที่แนะนำ หรือออกกำลังกายในระดับปานกลาง (Moderate Exercise) 150 นาทีต่อสัปดาห์  มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่ยืดยาวขึ้น และมีความเสียงที่จะเสียชีวิตน้อยกว่าร้อยละ 31 เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ออกกำลังกายเลย ในช่วง 14 ปี

ในกลุ่มที่ออกกำลังกายมากกว่าปริมาณที่แนะนำสามเท่า หรือออกกำลังกายในระดับปานกลาง  450 นาทีต่อสัปดาห์ หรือน้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่ออกกำลังกายด้วยการเดิน มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตน้่อยกว่าร้อยละ 39 เปอร์เซ็นต์เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ออกกำลังกาย

นักวิจัยพบว่าไม่ว่าพวกเขาจะออกกำลังกายเป็น 10 เท่า หรือมากกว่าปริมาณที่แนะนำ ก็ไม่พบนัยสำคัญที่จะทำให้พวกเขาสุขภาพแย่ลง และไม่เพิ่มความเสี่ยงเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอีกด้วย


ควรออกกำลังกายในระดับปานกลาง (Moderate Exercise) อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ และออกกำลังกายแบบเข้มข้น (Vigorous Exercise) ประมาณ 20 ถึง 30 นาที

การออกกำลังกายในระดับปานกลาง (Moderate Exercise) คือการออกกำลังกายไม่ว่าจะเป็น วิ่ง เดินเร็ว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ด้วยอัตรการเต้นของหัวใจสูงสุดอยู่ที่ 50-70 %

การออกกำลังกายแบบเข้มข้น (Vigorous Exercise) เหมือนกับการออกกำลังกายในระดับปานกลาง แต่ต่างกันตรงที่ออกกำลังกายด้วยอตัราการเต้นของหัวใจสูงสุดอยู่ที่ 70-85%

(เพิ่มเติม: การคำนวณอัตราการเต้นของหัวใจ)


ที่มา: well.blogs.nytimes
read more →

อยากแขนใหญ่เชิญทางนี้ กับโปรแกรมฝึกเพิ่มขนาดแขนของ Noah Siegel

หากคุณอยากมีกล้ามไทรเซ็ปส์เป็นรูปเกือกม้าสวยงาม กล้ามไบเซ็ปส์กลมเหมือนลูกเบสบอล และปลายแขนที่ดูใหญ่แข็งแรง โปรแกรมฝึกแบบความเข้มข้นสูงนี้ช่วยคุณได้

หลายคนในยิมที่พยายามยกน้ำหนักอย่างสุดพลัง พร้อมทั้งเปร่งเสียงเพื่อเค้นแรงออกมาจากกล้ามเนื้อให้มากที่สุด และใช้ช่วงเวลาพักระหว่างเซ็ตเบ่งกล้ามดูผลได้ที่จากกระจกเป็นประจำ ถึงแม้ว่าพวกเขาเหล่านี้จะดูเหมือนออกกำลังกายแบบฮาร์ดคอร์สุดๆ และใช้พลังงานในการยกเวทเยอะมาก แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีพอ นั่นหมายความว่าพวกเขาควรจะเรียนรู้วิธีการฝึกที่ดีกว่า

คนที่ออกกำลังกายด้วยเวทเทรนนิ่งจำนวนมากไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขาได้บริหารกล้ามเนื้อแขนของพวกเขาแล้วถึงหลายครั้งต่อสัปดาห์ แม้จะไม่ได้บริหารกล้ามเนื้อแขนโดยตรง ทุกๆ ครั้งที่คุณใช้ท่าบริหารที่ต้อง "ดัน (Press)" กล้ามเนื้อไทรเซ็ปส์จะทำงาน และทุกๆ ครั้งที่คุณ "ดึง (Pull)" กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ และปลายแขนจะทำงาน นั่นก็เพราะว่ากล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ และไทรเซ็ปส์จะถูกใช้งานมากระหว่างคุณบริหารด้วยท่าคอมพาวด์ (Compound) และสิ่งที่สำคัญคือการจำกัดจำนวนเซ็ตสำหรับการบริหารกล้ามเนื้อแขนด้วยท่าไอโซเลท (Isolate) ให้มีจำนวนเซ็ตน้อย แต่เน้นความเข้มข้นสูง

get big arm

ปัญหาอีกอย่างที่ทำให้กล้ามแขนของคุณไม่ใหญ่ซักทีคือการที่คุณไม่เข้าใจกายวิภาคศาสตร์ (Anatomy) ได้ดีพอที่จะฝึกกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ และไทรเซ็ปส์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการที่จะมีกล้ามแขนที่ใหญ่ และทรงพลังได้นั้นคุณจำเป็นเริ่มโดยการใช้งานกล้ามเนื้อให้ถูกที่

แขนของคุณทำงานได้อย่างไร

กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ เบรกิไอ (Biceps Brachii Muscle) จะทำงานเมื่อคุณหุบข้อศอกเข้า และเมื่อหมุนปลายแขน คำว่า"ไบ"แปลว่าสอง ดังนั้นไบเซ็ปส์จึงหมายถึงกล้ามเนื้อที่ประกอบด้วยสองหัว คือ หัวยาว (Long Head) และหัวสั้น (Short Head) กล้ามเนื้อทั้งสองหัวนี้มีต้นกำเนิดแตกต่างกัน แต่ถูกยึดด้วยเส้นเอ็นเส้นเดียวกัน การที่จะมีไบเซ็ปส์ให้ได้กลมและเต็มรูปนั้นจะต้องบริหารกล้ามเนื้อให้ได้ทั้งสองส่วน

(เพิ่มเติม: โปรแกรมเพิ่มขนาดแขน)

คุณสามารถรับรู้การทำงานของกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ได้เมื่อคุณวางมือซ้ายไว้ด้านบนกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ของแขนขวา จากนั้นหมุนปลายแขนของคุณไปอีกด้านให้สุด และคุณยังสามารถรับรู้ได้อีกวิธีคือวางแขนซ้ายไว้บนกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ข้างขวา เหยียดแขนขวาออกจนข้อศอกตรงกับแขน จากนั้นหุบข้อศอกเข้ามาจนสุด


กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ของคุณจะเมื่อยล้าได้ง่าย ดังนั้นคุณจะใช้กล้ามเนื้อเดลทรอยด์ (Deltoid) และกล้ามเนื้อเบรกิโอเรเดียลิส (Brachioradialis) หรือกล้ามเนื้อส่วนปลายแขนเข้ามาช่วยในการออกแรง การที่คุณจะสามารถใช้งานกล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ให้ได้อย่างเต็มที่ คุณจะเป็นต้องฝึกด้วยการเคลื่อนไหวซึ่งประกอบด้วยทั้งการงอและการหงาย

กล้ามเนื้อไทรเซ็ปส์ เบรกิไอ (Triceps Brachii Muscle) ถูกตั้งชื่อคล้ายๆ กันเพราะว่ามันมีสามหัว (ไทร แปลว่า สาม) กล้ามเนื้อไทรเซ็ปส์เป็นกล้ามเนื้อแขนที่มีขนาดใหญ่กว่ากล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ และมีความซับซ้อนพอๆ กัน กล้ามเนื้อไทรเซ็ปส์จะถูกทำงานเมื่อคุณเหนียดแขนออกจนกระทั้งข้อศอกตรงกับแขน กล้ามเนื้อไทรเซ็ปส่วนยาว และด้านข้างนั้นจะสร้างรูปเกือกม้าที่หลังแขนของคุณ  ส่วนที่อยู่ตรงกล้ามเนื้อจะสร้างความลึกให้กับกล้ามเนื้อ

(เพิ่มเติม: 5 วิธีง่ายๆ เพื่อเพิ่มขนาดของกล้ามเนื้อไบเซป (Biceps Muscle))

กล้ามเนื้อทั้งสามส่วนของไทรเซ็ปส์ไม่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน แต่พวกมันเชื่อมกับข้อศอกของคุณ ส่ววของไทรเซ็ปนั้นมาจากกระดูกสะบัก การที่จะแยกมันออกได้ คุณต้องยกแขนให้ข้อศอกอยู่เหนือศีรษะของคุณ

โปรแกรมฝึกเพื่อเพิ่มขนาดแขน
หลังจากที่คุณได้ความรู้บางอย่างจากข้างบนแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะมาระเบิดกล้ามแขนกันแล้ว ให้คุณฝึกด้วยการใช้ท่าเหล่านี้หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ในวันไหนก็ได้ที่คุณสะดวก หรือจะเป็นวันที่คุณฝึกกล้าม คุณอาจจะฝึกในวันที่บริหารกล้ามเนื้อ ท้อง/แขน/ปลายแขน หลังจากที่เล่นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ครบแล้วก็ได้

กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์

1. Spider Curl
4 sets: 12, 8, 6, 15 reps


 

ปรับม้านอนยกน้ำหนักให้ทำมุม 45 องศา จากนั้นวางหน้าอกของคุณแนบกับด้านบนของม้านอนยกน้ำหนัก ในจังหวะที่ยกขึ้นมาด้านบน พยายามอย่าให้ข้อศอกของคุณยกตาม ในเซ็ตสุดท้ายให้ลดน้ำหนักลงค่อนข้างเบาลง เพราะคุณต้องยกถึง 15 ครั้ง

2. Incline Dumbbell Curl
3 sets: 8, 8, 6 reps












ให้คุณยกทั้งสองข้างในเวลาเดียวกัน หงายฝ่ามือขึ้นตลอดเวลา พยายามยกดัมเบลขึ้นลงอย่างช้าๆ

3. Barbell Curl
3 sets, 8, 8, 12 reps









ฝึกท่านี้โดยการใช้หลังดันกับกำแพง และเก็บข้อศอกของคุณลงข้างล่าง พยายามยกขึ้นลงช้า

4. Preacher Curl
Dropset

 

เริ่มโดยใส่น้ำหนักที่คุณจะสามารถยกได้ 12 ที เมื่อยกครบ 12 ทีแล้วให้ลดจำนวนน้ำหนักออกแล้วยกให้ได้มากที่สุดเท่าที่คุณไหว จากนั้นก็ลดน้ำหนักลงอีก แล้วยกต่ออีกครั้ง และอีกครั้ง เมื่อครบเซ็ตแล้ว กล้ามเนื้อไบเซ็ปส์ของคุณแทบจะเดี้ยงไปเลยทีเดียว


กล้ามเนื้อไทรเซ็ปส์

1. Cable Push-Down With Bar
4 sets: 12, 8, 8, 8 reps











พยายามอยู่รักษาความเสถียรตลอดการฝึกท่านี้ เก็บส่วนลำตัวให้ตรง และงอเพียงข้อศอกอย่างเดียว ปล่อยให้แขนกดลงไป และกลับมาตั้งฉาก ท่าบริหารนี้ควรใช้น้ำหนักมากที่สุดที่เป็นไปได้

2. Seated Triceps Press
3 Sets: 10, 8, 8 reps









ท่าบริหารกล้ามเนื้อไทรเซ็ปส์นี้จะใช้สร้างกล้ามเนื้อไทรเซ็ปส์หัวยาว (Long Head of the Triceps) ได้ดีมาก เล่นให้หนักสุดเท่าที่คุณไหว เก็บข้อศอกเข้าลำตัวอย่าปล่อยให้แผ่ออก

3. Low Cable Triceps Extension
3 sets: 12, 12, 15 reps

 

ท่าออกกำลังกายกล้ามเนื้อไทรเซ็ปส์นี้จะคล้ายกับท่า Dumbbell Kick-Back แต่ท่านี้จะช่วยรักษาความตึงให้กับกล้ามเนื้อไทรเซ็ปส์ขณะเคลื่อนไหวได้มากกว่า สังเกตุให้ดีว่าคุณได้เก็บข้อศอกไว้แนบลำตัว และขยับแขนไปด้านหลังจนสุด

4. Lying Dumbbell Triceps Extension
3 sets: 15, 15, 20 reps










ถือดัมเบลไว้ข้างละอัน จากนั้นดันขึ้นมาพร้อมกัน

กล้ามเนื้อปลายแขน

1. Seated Palm-Down Barbell Wrist Curl
4 sets: 25 reps










วางปลายแขนของคุณราบกับตรงปลายของม้านอนยกน้ำหนักโดยให้มือของคุณห้อยออกไป ปล่อยให้บาร์เบลไหลของไปจนถึงปลายนิ้วของคุณจากนั้นบีบแล้วงัดบาร์เบลขึ้นมาจนกระทั้งคุณสามารถจับแกนบาร์เบลได้เต็มมือ

2. Standing Palm-Up Barbell Behind The Back Wrist Curl
3 sets: 15 reps












ใช้บาร์เบลแบบตรง และยกไว้ที่ด้านหลังของคุณ จับที่ความสูงประมาณก้นของคุณ ปล่อยให้บาร์เบลไหลของไปจนถึงปลายนิ้วของคุณจากนั้นบีบแล้วงัดบาร์เบลขึ้นมาจนกระทั้งคุณสามารถจับแกนบาร์เบลได้เต็มมือ

3. Reverse Barbell Curl
3 set: 15 reps










ท่าบริหารกล้ามเนื้อปลายแขนนี้จะโดนกล้ามเนื้อปลายแขนยากหน่อย คุณต้องพยายามโฟกัสที่กล้ามเนื้อปลายแขน อย่าปล่อยให้กล้ามเนื้อหัวไหล่เข้ามาทำงานแทนเด็ดขาด คล่อยๆ งัดบาร์เบลขึ้นมาจากข้อศอก

4. Hammer Curls (ท่าเสริม ปิดฉาก)
1-2 sets: จนกว่าจะหมดแรง














ถ้าหากคุณยังไหว ให้คุณบริหารด้วยท่านี้ต่อ ไม่ต้องเข้มงวดกับฟอร์มมาก ยกไปเรื่อยๆ จนกว่าคุณจะหมดแรงเฮือกสุดท้าย พร้อมกับระเบืดกล้ามแขนไปพร้อมๆ กัน

โปรแกรมฝึกนี้เพียงพอสำหรับการบริหารกล้ามเนื้อแขน ให้แน่ใจว่าคุณฝึกได้เข้มข้นพอ ในแต่ละเซ็ตพยายามพักให้น้อยที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถยกได้เต็มเซ็ตในรอบต่อไปไหว จัดให้หนัก จัดให้เร็ว แล้วระเบิดกล้ามให้เต็มที่


ที่มา: BodyBuilding
ที่มารูปภาพ: menshealth, bodybuilding24x7, workoutlabs, BodyBuilding
read more →

โครงสร้างร่างกายของคุณเป็นแบบไหน มาลองทดสอบกันดีกว่า

คุณมีโครงสร้างร่างกายแบบไหน ถ้ารู้แล้วจะช่วยอะไรบ้าง อยากให้คุณลองทำแบบทดสอบง่ายๆ ด้านล่างนี้ และเรียนรู้เกี่ยวกับการออกกำลังกายที่เหมาะสมกับโครงสร้างร่างกายในแบบต่างๆ ภายในบทความนี้

ทุกๆ คนนั้นไม่ได้มีโครงสร้างร่างกายเหมือนกันหมด ก่อนที่คุณจะเริ่มออกกำลังกาย หรือวางแผนควบคุมอาหาร จะเป็นการดีกว่าถ้าคุณรู้ว่าคุณมีร่างกายเป็นประเภทไหน โครงสร้างร่างกายนั้นแบ่งออกได้เป็นสามประเภทหลักๆ ซึ่งช่วยให้คุณสามารถกำหนดตารางควบคุมอาหารได้ดีขึ้น และวางแผนออกกำลังกายได้เหมาะสมมากกว่าเดิม แน่นอนว่าคุณจะไปถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น


โครงสร้างร่างกายพื้นฐานแบ่งออกได้สามประเภท ประกอบไปด้วย เอ็นโดมอร์ฟ (Endomorph) ซึ่งร่างการจะมีไขมันสะสมอยู่มาก เมโซมอร์ฟ (Mesomorph) เป็นพวกหุ่นนักกีฬา มีกล้ามเนื้อที่ดี และเอ็คโตมอร์ฟ (Ectomorph) ลักษณะผอม มีไขมันและกล้ามเนื้อไม่มาก เป้าหมายของคุณคือทำให้รูปร่างของคุณใกล้เคียงกับโครงสร้างร่างกายแบบเมโซมอร์ฟ ถ้าคุณไม่ได้เป็นแบบนี้

ทำแบบทดสอบด้านล่างแล้วคุณจะพบโครงสร้างร่างกาย (Body Type) ของคุณ และเชื่อมระหว่างการออกกำลังกาย และการควบคุมอาหารกับโครงสร้างร่างกายของคุณ เพื่อให้คุณไปถึงเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

(เพิ่มเติม: 3 ปัจจัยในการควบคุมอาหาร และแบ่งสัดส่วนของอาหาร)

โครงสร้างร่างกายสามแบบ (Three Body Types)

เอ็คโตมอร์ฟ (Ectomorph)                          เมโซมอร์ฟ (Mesomorph)               เอ็นโดมอร์ฟ


                                          

- สะโพกเล็ก และไหล่แคบ                            - ไหล่กว้าง                                           - ตัวหนา
- ข้อต่อเล็ก (ข้อมือ, ข้อเท้า)                         - สะโพกเล็ก                                         - กระดูกใหญ่
- รูปร่างผอมบาง                                          - ข้อต่อพอดี                                         - ข้อต่อใหญ่
- กล้ามหน้าท้องเป็นเส้น                               - กล้ามหน้าท้องยาวและเต็ม                  - สะโพกกว้างกว่าไหล่
- แขนขายาว                                                                                                          - แขนขาสั้น

1 คุณเป็น












ที่มา: BodyBuilding
read more →